..ในอีก 5 ปี ข้างหน้าองค์การอนามัยโลก (WHO) ประมาณการว่าจะมี1พันล้านคนทั่วโลกที่ยังคงเป็นผู้เสพติดสารนิโคตินจากบุหรี่ซึ่งทุกวันนี้คนกลุ่มนี้ไม่สามารถเลิกบุหรี่ได้โดยเด็ดขาดหรือเฉียบพลันแต่การดำเนินชีวิตที่รับผิดชอบต่อสุขภาพตัวเองและของผู้อื่นโดยการมองหาทางเลือกเพื่อลดสารอันตรายจากการเผาไหม้ยาสูบ (tobacco harm reductionหรือ THR) ที่มีความเป็นไปได้กลับพบอุปสรรคในการเข้าถึงทางเลือกเหล่านั้นทั้งข้อจำกัดทางกฎหมายที่เข้มงวดเบ็ดเสร็จและการปิดกั้นไม่รับฟังข้อมูลความรู้อีกด้านที่มาจากฝั่งตรงข้าม
..งานเสวนาออนไลน์วอยซ์ฟอร์เวป (Voices4Vape) ซึ่งจัดโดยเครือข่ายผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกเอเชียแปซิฟิกหรือคาฟ-ฟรา (The Coalition of Asia Pacific Tobacco Harm Reduction Advocates-CAPHRA) จึงเป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้บริโภคที่ประสบปัญหาและนักเคลื่อนไหวจากประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกเพื่อผลักดันและกระตุ้นให้รัฐบาลในประเทศต่างๆพิจารณาถึง”ทางเลือก”ในการเข้าถึงข้อมูลความรู้และผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ลดการได้รับสารอันตรายจากการเผาไหม้ยาสูบ (tobacco harm reductionหรือTHR)
..“การใช้นิโคตินมีความเสี่ยงต่อร่างกายแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ถ้าใช้ในปริมาณที่ไม่มากเกินไปและใช้ในรูปแบบที่ไม่มีการเผาไหม้มันก็พอจะรับได้เรื่องนี้สำคัญมากที่ต้องให้คนทั่วไปเข้าใจ”อีเลียนา รูบาสกิน (Eliana Rubashkyn) เภสัชกรนักเคมีและนักเคลื่อนไหวทางสิทธิมนุษยชนจากนิวซีแลนด์กล่าว
..“การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารนิโคตินที่เป็นไอระเหยรวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าการสูบบุหรี่แบบเผาไหม้ 95 เปอร์เซ็นต์ มีหลักฐานมากมายยืนยันตรงกันว่าสารอื่นๆที่พบในควันบุหรี่เช่นทาร์(Tar)มีอันตรายต่อสุขภาพร้ายแรงขณะที่นิโคตินไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดมะเร็งแต่ก็เป็นสารเสพติดที่เลิกได้ยากการพิจารณาให้มีการจัดการอย่างเหมาะสมน่าจะเป็นประโยชน์กว่าการห้ามใช้โดยเด็ดขาด”
..สเตฟฟานี ธิวเซน (Stephanie Thuesen) ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจากเมลเบิร์นออสเตรเลียเป็นอีกรายที่เล่าประสบการณ์ส่วนตัวของการเลิกบุหรี่และเปลี่ยนมาใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่ผสมสารนิโคตินที่ลดการรับสารก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพลงเผยว่าออสเตรเลียมีตัวเลขคนใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกราว 5 แสนคน เป็นอย่างน้อยและหลายเดือนที่ผ่านมากลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในออสเตรเลียได้ออกมาเรียกร้องสิทธิผ่านโซเชียลมีเดียซึ่งถือเป็นการแสดงพลังของคนจำนวนมากในช่วงที่มีโควิดระบาดและประชาชนถูกจำกัดสิทธิในการออกออกนอกบ้าน
..สำหรับประเทศไทยนายอาสา ศาลิคุปต ตัวแทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าหรือECSTได้เผยในวงเสวนาVoices4Vapeว่าทางเลือกของผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยยังถูกปิดด้วยกฎหมายแบนเด็ดขาดซึ่งหน่วยงานควบคุมยาสูบภาครัฐเป็นกลุ่มหลักที่ยืนกรานการแบนบุหรี่ไฟฟ้าโดยไม่ยอมรับฟังข้อมูลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และความรู้อื่นๆที่เป็นด้านบวกและยืนยันที่จะตีความข้อมูลวิจัยที่เป็นด้านลบเท่านั้น
..“ยกตัวอย่างถ้ามีงานวิจัย9-10ชิ้นแน่นอนทุกอย่างมันมีทั้งด้านบวกด้านลบแต่ข้อมูลที่สื่อสารออกมาในประเทศก็จะเป็นด้านลบเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าและก็มองข้ามงานวิจัยที่ชี้ถึงด้านบวกของการใช้มันไปอย่างสิ้นเชิง”
..นายอาสา กล่าวและเผยถึงสถานการณ์ในไทยที่ทางกลุ่มESCTได้ออกมารณรงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้มีทางเลือกที่เป็นจริงแต่ก็ยังมีผู้ใช้อีกหลายแสนคนที่ยังไม่กล้าออกมาร่วมผลักดันการปลดล็อคทางกฎหมาย
..“(ไทย)เรามีคนใช้บุหรี่ไฟฟ้าอย่างน้อย5แสนคนในประเทศไทยและก็มีบางส่วนออกมาร่วมเรียกร้องกับทางกลุ่มเราแต่มันก็ยังไม่มีพลังมากพอก็ถือว่าไทยยังยากอยู่ต่างจากบางประเทศที่ผู้ใช้เขารวมตัวกันได้และออกมาเดินขบวนเรียกร้องหรือรวมกลุ่มกันแสดงพลังเสนอข้อเรียกร้องซึ่งคนไทยยังกลัวการถูกจับไม่ค่อยออกมาร่วมเท่าไรในส่วนของกลุ่มเราก็ได้มีการคุยกับตัวแทนฝ่ายรัฐหลายคนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของเรานะและมองว่าน่าจะยกเลิกการแบนซึ่งก็ยังคงต้องรอความคืบหน้าไปอีก” นายอาสากล่าว
..ด้านซัมราด ชาวเดอรี (Samrat Chowdhery)ตัวแทนจากกลุ่มผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าจากอินเดีย(Association of Vapers India)และประธานองค์กรเครือข่ายนิโคนิตินสากล(International Network of Nicotine Consumer OrganisationsหรือINNCO)เผยว่าWHOประเมินตัวเลขผู้สูบบุหรี่ทั่วโลกจะยังมีสูงกว่า1พันล้านคนในช่วง5ปีข้างหน้าแต่นโยบายการสร้างสังคมปลอดบุหรี่กลับไม่มีความก้าวหน้าเพราะยังยึดติดกับ“การแบนเด็ดขาด”
..พ้องกับความเห็นของไคลฟ์ เบตส์ (Clive Bates)อดีตผู้อำนวยการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่แห่งสหราชอาณาจักรซึ่งผันตัวมาเป็นกระบอกเสียงสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกได้ชี้ให้เห็นผลกระทบแง่ลบในการดำเนินนโยบายขององค์การอนามัยโลกและองค์กรต่อต้านบุหรี่ที่เน้นหนักไปที่“การห้ามผลิตภัณฑ์ทางเลือกเด็ดขาด”ว่าเป็นการปกป้องผู้ผลิตยาสูบแบบเผาไหม้และเปิดช่องให้เกิดการค้าขายผลิตภัณฑ์ผสมสารนิโคตินทางเลือกอื่นๆในตลาดมืดมากกว่าเอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภคแท้จริง
..แนนซี ลูคัส ผู้ประสานงานCAPHRAได้ย้ำถึงการเรียกร้องครั้งนี้เป็นสิทธิที่ชอบธรรมว่า“ตัวแทนผู้บริโภคออกมาสู้ก็เพื่อให้ผู้เสพติดบุหรี่วัยผู้ใหญ่นับล้านในแถบเอเชียแปซิฟิกมีทางเลือกในการใช้ผลิตภัณฑ์ผสมสารนิโคตินที่มีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่เผาไหม้ยาสูบเรารู้ว่ามันเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขาแต่เรารู้ว่าเรากำลังต่อสู้ในทางที่ถูกต้อง”
..นอกจากจะเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิของผู้สูบบุหรี่และผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้วการเคลื่อนไหวนี้ยังเป็นการสนับสนุนแนวคิดให้รัฐพิจารณานโยบายที่จะนำไปสู่การลดจำนวนผู้สูบบุหรี่ที่รับฟังความคิดเห็นของผู้เห็นต่างผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีตัวอย่างจากต่างประเทศอาทิฝรั่งเศสสวีเดนนอร์เวย์ไอซ์แลนด์ญี่ปุ่นและล่าสุดฟิลิปปินส์ที่เปลี่ยนการแบนมาเป็นการควบคุมอย่างเหมาะสม
..เดวิด สวีนเนอร์ นักวิชาการประธานที่ปรึกษาคณะกรรมการศูนย์นโยบายกฎหมายและจรรยาบรรณด้านสุขภาพแห่งมหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี้ออฟออตตาวาแคนาดาชี้ว่าผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อลดอันตรายจากยาสูบมีหลักฐานยืนยันผลลัพธ์ของการลดอันตรายที่เกิดจากการสูบบุหรี่ได้อย่างชัดเจนในหลายประเทศ“เราเห็นตัวอย่างจากทั่วโลกแล้วว่าอัตราการเลิกสูบบุหรี่แบบมวนลดลงอย่างมากในหลายประเทศที่เปิดให้มีทางเลือก