เขียนโดย รัตนศิริ กิตติก้องนภางค์
ทูน่ากระป๋อง น่าจะเป็นอาหารอันดับแรกๆ ที่คนกินอาหารทะเลสามารถหาซื้อได้ง่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ต แต่คุณรู้ไหมก่อนที่ปลาทูน่าจะมาอยู่ในกระป๋องนั้นมีที่มาที่ไปและมีเบื้องหลังอย่างไรบ้าง หากอุตสาหกรรมปลาทูน่าและบริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไม่มีนโยบายการตรวจสอบย้อนกลับที่สามารถระบุถึงที่มาของปลาทูน่าและการทำประมง ผู้บริโภคไม่มีทางรู้ได้เลยว่าปลาทูน่าที่เรากินนั้นเชื่อมโยงกับวิกฤตทะเลไทยและมหาสมุทรโลกของเราอย่างไร ซึ่งผู้บริโภคเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างปัญหาเหล่านี้ให้กับท้องทะเลโดยไม่รู้ตัว แต่หากผู้บริโภครับทราบข้อเท็จจริง ก็จะสามารถเป็นพลังหนึ่งในการกอบกู้วิกฤตนี้ได้ เพราะในขณะนี้ปลาทูน่ากำลังเหลือปริมาณน้อยลงไปทุกที
ปลาทูน่าเป็นหนึ่งในพันธุ์ปลาซึ่งเป็นที่นิยม และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก แต่ความต้องการบริโภคในระดับโลกเช่นนี้ทำให้มหาสมุทรของเราต้องเผชิญกับปัญหาการทำประมงเกินขนาด การประมงแบบทำลายล้าง และการประมงผิดกฎหมาย จนปัจจุบันนี้ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตกตอนกลางมีปลาทูน่าตาโตหลงเหลืออยู่เพียงร้อยละ 16 เท่านั้น https://www.wcpfc.int/node/18975 ซึ่งนั่นเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลขประชากรปลาทูน่าที่ลดลงอย่างน่าใจหาย จากการที่ปลาทูน่าไม่ได้ถูกจัดหามาจากแหล่งประมงที่มีความยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคม
เทคนิคการจับปลาทูน่าที่เป็นสาเหตุการทำลายล้างมหาสมุทรของเรา
“ยังมีสัตว์ทะเลอีกหลายสายพันธุ์ที่ถูกฆ่าทิ้งพร้อมๆกับการจับทูน่าพันธุ์ท้องแถบเพื่อทำทูน่ากระป๋อง สัตว์ทะเลที่ถูกฆ่าเหล่านั้นมีจำนวนมากพอๆกับรายชื่อสัตว์ทั้งหมดในภาพยนต์ Finding Nemo” -- ชารล์ส โคลเวอร์ ผู้เขียนหนังสือ The End of the Line
การประมงพาณิชย์ที่จับปลาทูน่าจำนวนมากด้วยการประมงแบบทำลายล้างนั้นสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับมหาสมุทรของเรา การประมงปลาทูน่าที่ไร้ความรับผิดชอบและทำลายล้างนั้นมีเครื่องมือหลักๆ คือ การประมงอวนล้อมร่วมกับเครื่องมือล่อปลา FADs และเบ็ดราว http://tuna.greenpeace.org/th/stories/destructive-fishing-techniques
อวนล้อมเป็นลักษณะเหมือนกำแพงตาข่ายล้อมวงเป็นถุงขนาดใหญ่และมีห่วงมัดด้านล่างเพื่อจับ ซึ่งบางครั้งก็มีปลาชนิดอื่นๆที่ไม่ใช่ปลาเป้าหมายรวมอยู่ด้วย หากอวนล้อมถูกใช้ร่วมกับเครื่องมือล่อปลา (Fish Aggregating Device; FADs) จะยิ่งทำให้เกิดการจับแบบทำลายล้างมากยิ่งขึ้น โดยประมาณร้อยละ 60 ของทูน่ากระป๋องในโลกนั้น ถูกจับโดยวิธีการใช้อวนล้อมจับร่วมกับเครื่องมือล่อปลา ซึ่งเป็นเสมือนแม่เหล็กดึงดูดให้ปลาและสัตว์น้ำอื่นๆ รวมถึงฉลามและเต่ามารวมกลุ่มกัน แล้วเครื่องโซน่าหรือเครื่องตรวจจับฝูงปลาจะส่งสัญญาณดาวเทียมไปยังเรือประมงเพื่อมาล้อมจับเอาฝูงปลาทั้งฝูง FADs เป็นอุปกรณ์เลี่ยงอัตราควบคุมจำนวนเรือ เมื่อถูกควบคุมจำนวนเรือ ก็หันไปติดตั้ง FADs แทนได้นับร้อยเพื่อล่อปลาทูน่า
การนำอวนมาล้อมจับใต้เครื่องมือล่อปลาทำให้สัตว์น้ำที่ไม่ใช่เป้าหมายจำนวน 2.7-6.7 เท่า ของจำนวนปลาทูน่าที่จับได้ต้องตกเป็นเหยื่อ โดยที่ปลาทูน่าที่จับได้ส่วนใหญ่ยังเป็นลูกปลา อีกทั้งเครื่องมือล่อปลายังเป็นขยะในท้องทะเล มักถูกพัดพาไปติดอยู่กับปะการังอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการใช้เบ็ดราวเพื่อจับปลาที่มีขนาดใหญ่กว่า และมีมูลค่าสูงกว่า ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีจับปลาที่แย่ที่สุดในโลก เบ็ดราวทำงานโดยการวางสายเบ็ดจากเรือจับปลาทูน่าที่ยาวถึง 170 กิโลเมตร หรือ 105 ไมล์ ที่มีขอเบ็ดเกี่ยวอยู่ตลอดสาย ปัญหาคือปลาทะเลขนาดใหญ่ ฉลาม นกทะเล เต่าและสิ่งมีชีวิตในทะเลอื่นๆ ถูกจับติดกับสายเบ็ด ในหนึ่งปีมีเต่าทะเลถูกจับมากกว่า 300,000 ตัว และนกทะเลกว่า 160,000 ตัวต้องมาจบชีวิตลง
ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ การประมงปลาทูน่าอย่างไร้ความรับผิดชอบ ยังเป็นสาเหตุของการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริการายงานว่ามีการใช้แรงงานทาสบนเรือประมงใน 50 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย การละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง มักเชื่อมโยงกับการทำประมงปลาทูน่าที่ผิดกฎหมาย แรงงานประมงปลาทูน่าต้องทำงานในสภาพแย่บนเรือประมงเบ็ดราว โดยปราศจากสุขอนามัย ถูกข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย หรือรุนแรงถึงกับถูกฆ่า ซึ่งในบางกรณีถูกทิ้งไว้ในทะเลยาวนานบางทีถึงแรมปี และต้องทำงานยาวนานโดยแทบจะไม่ได้ค่าตอบแทนอะไร
ประมงเบ็ดราวส่วนมากจะขนถ่ายปลาที่จับได้กลางทะเล แทนที่จะกลับเข้าหาฝั่ง เป็นวิธีหลบเลี่ยงที่เรียกว่า การขนถ่ายกลางทะเล (Transshipment) ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้ปลาที่ถูกจับอย่างผิดกฏหมายสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทาน และถ้าเรือประมงไม่กลับเข้าท่าเรือเป็นแรมปี แรงงานที่ถูกกระทำรุนแรงก็จะไม่อาจติดต่อสื่อสารถึงภายนอกได้
นโยบายการตรวจสอบย้อนกลับ คือทางออกของวิกฤตทูน่า
ปัญหาจากอุตสาหกรรมปลาทูน่านั้นมีหนทางแก้ไขได้ โดยการแก้ปัญหานั้นหมายถึง การประมงที่มีความเป็นธรรมและยั่งยืน นั่นหมายถึงบริษัททูน่ากระป๋องจะต้องมีนโยบายการตรวจสอบย้อนกลับตลอดการดำเนินการในห่วงโซ่อาหาร ที่สามารถระบุถึงตั้งแต่แหล่งที่มาของปลาทูน่าและการทำประมง ไปจนถึงการวางจำหน่ายในชั้นวางสินค้า ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่า ปลาทูน่าที่เราเลือกซื้อมาจากแหล่งที่มีประชากรปลาทูน่าจำนวนมากพอ เป็นชนิดที่ยังไม่ใกล้สูญพันธุ์ มาจากการทำประมงอย่างรับผิดชอบ ตลอดจนมีมาตรฐานที่เข้มแข็งทางด้านแรงงานและสิทธิมนุษยชน มีการรายงานการเข้าออกจากฝั่งของเรือ รวมถึงลดการขนถ่ายกลางทะเลที่เอื้อให้เกิดช่องโหว่ในการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งอุตสาหกรรมปลาทูน่าควรใช้โอกาสนี้เป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันแก้ไขปัญหา
อุตสาหกรรมปลาทูน่าที่ดีหมายถึงการสนับสนุนวิธีการทำประมงที่เหมาะสมและมีความยั่งยืนมากกว่า เช่น การใช้เบ็ดตวัด และปลอดจากการใช้อวนล้อมร่วมกับเครื่องมือล่อปลา โดยผู้บริโภคอย่างเราคือพลังสำคัญที่จะแก้ไขวิกฤตปลาทูน่านี้ ด้วยการผลักดันให้บริษัทจัดจำหน่ายทูน่ากระป๋องมีนโยบายตรวจสอบย้อนกลับ ไม่เลือกซื้อเลือกกินปลาทูน่าที่ไม่แน่ใจถึงแหล่งที่มาและวิธีการจับ ไม่บริโภคปลาทูน่าที่ใกล้สูญพันธุ์ คนกินปลาอย่างเราจะได้ไม่เป็นหนึ่งในสาเหตุการทำร้ายมหาสมุทร และหันมาเป็นพลังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ เพื่ออนาคตของปลาทูน่าอาหารแสนอร่อยของคนทั่วโลก และอนาคตของมหาสมุทรของเรา
ที่มา: http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/blog/54225/