คนเราส่วนใหญ่ก็มักจะมีบุคคลต้นแบบ! อืม…ถ้าจะเรียกให้เท่ๆ หน่อยก็ต้องเรียกว่า ‘ไอดอล’ เป็นเป้าหมาย เป็นแรงบันดาลใจให้แก่เรา ในการมุ่งไปสู่ในสิ่งที่ตัวเองฝัน
จึงเป็นที่มาของภาพยนตร์หลากหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาตัวเอง Art Idol ก็เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่เล่าถึงเรื่องนี้
Art Idol เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของค่าย Mono Pictures โดยเรื่องนี้ได้ผู้กำกับหน้าใหม่ถึง 3 คน มาร่วมกันทำงานได้แก่ สาธิต แก้วรุ่ง, เอกสิทธิ์ สมเพ็ชร และ อนิวรรต กรกำแหง
เล่าเรื่องราวของ อาร์ท (ชนกันต์ พูนศิริวงศ์) เด็กหนุ่มเอ็นท์ไม่ติด (สมัยนี้ต้องเรียกว่า แอดมิชชั่น!) ที่มีความฝันอยากเป็น ‘ศิลปิน’ แต่กลับไม่เคยเอาจริงอะไรได้สักที
มีเพียงสิ่งเดียวที่เรียกว่าอาจเป็นพรสวรรค์ของอาร์ทก็คือ ความสามารถด้านการถีบจักรเย็บผ้า! แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้อาร์ทละทิ้งมันไป ซึ่งก็ได้ ฝุ่น (กรกมล เจริญชัย) เพื่อนสาวข้างบ้านคอยเป็นกำลังใจให้เขาสามารถค้นพบตัวเองในสักวัน จนสุดท้ายอาร์ทก็รู้ว่าตัวเองควรมุ่งหน้าไปทางการเป็นศิลปินเมื่อได้รู้จัก กับ พี่โม่ (พงศ์เทพ อนุรัตน์) ผู้ทำงานด้านศิลปะที่ใครๆ ยกย่องให้เป็นไอดอล… การเดินตามฝันสู่การเป็นศิลปะจึงเริ่มขึ้น!
ความรู้สึกระหว่างชม Art Idol นั้น คล้ายกับว่าเรากำลังดูหนังตลกในรูปแบบมิวสิควีดีโอขนาดยาวอยู่ก็ไม่ปาน เมื่อนำลูกเล่นแบบมิวสิควีดีโอมาใช้ในการเล่าเรื่อง ซึ่งก็ทำได้ดีพอใช้ แม้จะรู้สึกว่ามันดูขัดๆ ไม่เข้ากับเรื่องโทนของเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการวาดภาพและงานกราฟฟิก! หนังเป็นเจ้าของงานภาพที่มีสีสันสดใส โดดเด่นด้วยภาพงานกราฟฟิกหลากสีสัน ที่ทำให้รู้สึกเหมือนสัมผัสเรื่องราวของศิลปะจริงๆ จังหวะการวางดนตรีที่เป๊ะมากช่วยให้เกิดความรู้สึกร่วมในหนังและบางฉากก็ดูตั้งใจเร้าจนเกินไป
หนังบอกกับเราอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องราวของศิลปะ แต่สุดท้ายหนังก็ไม่ได้ชัดเจนในส่วนนี้สักเท่าไหร่และไม่ค่อยให้ข้อมูล เรื่องเกี่ยวกับศิลปะแก่ผู้ชมอันอาจส่งผลให้ไม่เข้าใจและไม่อินกับบางส่วนของเรื่อง โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ในช่วงท้าย! ส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกแบบนี้อาจเป็นเพราะมุขตลกเกี่ยวกับเรื่องศิลปะที่สอดแทรกเข้ามาเยอะ การนำเสนอในแบบทีเล่นทีจริงทำให้ประเด็นเรื่องของศิลปะที่ควรจะได้รับการชูให้เด่นกลับอ่อนด้อยลงไป
มุขตลกของเรื่องส่วนใหญ่เป็นลักษณะของมุขตัดแปะ ที่บางมุขไม่ได้มีความสอดคล้องไปกับเรื่อง บางมุขตลกที่นำมาใช้ก็ดูล้าสมัยไปนิด เหมือนเป็นการจงใจนำมาขั้นเพื่อขยายเรื่องซะมากกว่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มุขที่ปล่อยออกมาได้ผลบ้างไม่ได้บ้างสลับกันไป ยังดีที่ได้พี่ แอนนา ชวนชื่น ที่มาในแบบที่ทุกคนคุ้นเลยซึ่งสามารถเรียกเสียงฮาได้ทุกฉากที่ปรากฏ
ทัพนักแสดงนำหน้าใหม่ต่างทำหน้าที่ได้อย่างน่าพอใจ จัดว่าเป็นหนังที่ดูเจริญหูเจริญตา เพราะนักแสดงหน้าตาดีกันทุกคนและดูเข้ากับเรื่อง แต่ที่น่าจับตามองคือ กรกมล เจริญชัย ที่แสดงเป็น ฝุ่น และ พงศ์เทพ อนุรัตน์ ที่แสดงเป็นพี่โม่ ที่ทั้ง 2 ต่างได้รับบทที่มีมิติมากกว่าคนอื่นและแสดงในแบบที่รู้สึกเหมือนไม่ได้แสดง แต่คู่ที่ขโมยซีนเห็นจะเป็น กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ในบทเพื่อนบ้านชาวอินเดีย และ พิลาสินี พิชัยกุลวรสิริ ในบทสาวใช้ชื่อหิ่น ที่คู่นี้ทำให้เราอมยิ้มไปกับความสัมพันธ์มากกว่าคู่ของอาร์ทและฝุ่นเสียอีก
แม้ว่าภาพรวมของ Art Idol จะเป็นภาพยนตร์ที่ไม่สมบูรณ์และมีจุดบกพร่องหลายจุด รวมถึงการที่ไม่สามารถพาเรื่องราวไปได้ถึงที่สุดในระดับที่สร้างผลกระทบทางความรู้สึกจนอยากลุกมาทำอะไรสักอย่างหลังชมจบได้เหมือนอย่างที่หนังแนวๆ นี้ควรจะเป็น
“ชีวิตเรามันสั้นเกินกว่าที่จะเป็นคนอื่น” คำกล่าวนี้ใครเป็นคนกล่าวคนแรกผมไม่ทราบและไม่คิดจะเสียเวลาสืบหามากกว่าจะ เสียเวลาไปกับการทำความเข้าใจในความหมายอันลึกซึ้งเบื้องหลังประโยคนี้ การค้นหาในสิ่งที่ตัวเองชอบและรักที่จะทำมัน สำหรับบางคนก็เป็นสิ่งที่ง่ายแต่กับอีกหลายคนต่อหลายคนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อพบคำตอบว่า ยังไม่ใช่! แต่กระนั้นเราทุกคนก็ยังควรมุ่งมั่นในการค้นหาสิ่งที่ใช่สำหรับเราจริงๆ ต่อไป อย่างน้อย Art Idol ก็น่าจะช่วยให้ผู้ที่กำลังค้นหาสิ่งที่ตัวเองอยากทำได้ค้นพบคำตอบลางๆ ในการค้นหาตัวเอง ผ่านประโยคคมๆ ของตัวละครพี่โม่!
เครดิต pantip จ้าาาา